ก.ล.ต. ปรับปรุงเกณฑ์การลงทุนของกองทุนให้มีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับแนวทางสากล และพัฒนาการของตลาด
ก.ล.ต. ปรับปรุงประกาศเกี่ยวกับการลงทุนของกองทุนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น สอดคล้องกับแนวทางสากลและพัฒนาการของตลาด ทั้งการกำหนดประเภททรัพย์สินที่กองทุนลงทุนได้ เกณฑ์การลงทุน PVD และการให้กองทุนกระจายการลงทุนมากขึ้น
นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า คณะกรรมการกำกับตลาดทุน มีมติเห็นชอบการปรับปรุงเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของกองทุนครอบคลุมหลายเรื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจกองทุนรวมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีพัฒนาการหลายด้าน เกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ ได้เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับการลงทุนของกองทุนรวม สอดคล้องกับแนวทางสากลและพัฒนาการของตลาด ลดข้อจำกัดในการทำธุรกิจ ขณะที่ผู้ลงทุนยังคงได้รับความคุ้มครอง อย่างเหมาะสมเช่นเดิม และมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น
เกณฑ์ที่ปรับปรุงให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ได้แก่ การกำหนดประเภททรัพย์สินที่กองทุนสามารถลงทุนได้จะกำหนดเป็นหลักการ โดยกำหนดประเภทและคุณสมบัติของทรัพย์สินที่ลงทุนได้ จากเดิมที่กำหนดเป็นรายละเอียดของแต่ละประเภททรัพย์สินที่ลงทุนได้ รวมถึงอนุญาตให้กองทุนเลือกลงทุนในทรัพย์สินได้หลากหลายในระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมมากขึ้น เช่น ให้กองทุนรวมที่เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure fund) ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งอาจไม่ได้เสนอขายให้กับผู้ลงทุนรายย่อยก็ได้ โดยสามารถลงทุนได้ในอัตราส่วนที่กำหนด จากเดิมที่สามารถลงทุนใน infrastructure fund เฉพาะที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือเสนอขายให้กับผู้ลงทุนรายย่อยเท่านั้น เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังผ่อนคลายเกณฑ์การลงทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ให้สามารถลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือ infrastructure fund ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นได้จาก 15% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เป็นไม่เกิน 30% ของ NAV โดยคำนวณรวมกับการลงทุนในทรัพย์สินทางเลือกอื่น ๆ ด้วย เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น รวมถึงอนุญาตให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถจัดตั้งเป็นกองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (sector fund) ที่เน้นลงทุนในหลักทรัพย์บางกลุ่มอุตสาหกรรมได้ โดยจะจำกัดอัตราส่วน การลงทุนรายสมาชิก ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้แก่สมาชิก PVD อีกด้วย
สำหรับเกณฑ์ที่ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสากลและพัฒนาการของตลาดมากยิ่งขึ้น ได้แก่ การกำหนดอัตราส่วนการลงทุนให้มีการกระจายการลงทุนมากยิ่งขึ้น รวมถึงทบทวนอัตราส่วนการลงทุนในทรัพย์สินบางประเภท (product limit) ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดและการลงทุนของกองทุนรวม เช่น ยกเลิกอัตราส่วน product limit สำหรับการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมทั่วไป
นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงเกณฑ์การลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (derivatives) ให้เป็นไปตามแนวสากล อาทิ การคำนวณอัตราส่วนเพื่อจำกัดการลงทุนใน derivatives รวมถึงการกำหนดเกณฑ์การจัดประเภทกองทุนรวมให้สะท้อนความเสี่ยงจากการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยให้พิจารณาจากฐานะการลงทุนสุทธิ ในทรัพย์สิน (net exposure) แทนการพิจารณามูลค่าการลงทุนในทรัพย์สิน และแก้ไขสัดส่วนการลงทุนในทรัพย์สินต่าง ๆ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับประเภทกองทุนนั้น
“การปรับปรุงประกาศดังกล่าวเพื่อความเหมาะสมในทางปฏิบัติ และสอดคล้องกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกองทุนรวม โดยในช่วงปี พ.ศ. 2552-2558 ที่ผ่านมา กองทุนรวมมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 17% ต่อปี ปัจจุบันกองทุนรวมมีสินทรัพย์สุทธิ 3.6 ล้านล้านบาท ประกอบกับการที่บริษัทจัดการมีความสนใจลงทุนในทรัพย์สินหลายประเภท ทั้งในและต่างประเทศ จึงได้นำข้อเสนอแนะจากการรับฟังความเห็นของภาคธุรกิจและผู้เกี่ยวข้องมาปรับปรุงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและลดข้อจำกัดในการทำธุรกิจของบริษัทจัดการลงทุนขณะที่ผู้ลงทุนจะมีทางเลือกมากขึ้น” นายรพีกล่าว